2552-08-31

วิธีทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟ

วิธีทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟเครื่องชงกาแฟก็ต้องการการทำความสะอาดเพื่อให้อายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นและที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่สด ใหม่ อร่อยทุกวัน

วิธีการทำความสะอาดประจำวันสำหรับเครื่อง แบบ commercialเมื่อเสร็จงานชงกาแฟในแต่ละวันสิ่งแรกที่ต้องทำคือ
1.การกดปล่อยน้ำออกจากหัวกรุ๊ป จนน้ำที่ไหลออกมาใสสะอาด ไม่มีสีของกาแฟ
2.เคาะผงกาแฟออกจากถ้วยกรอง และล้างทำความสะอาด
3.ถอดถ้วยกรอง โดยการใช้ไขควงปากแบน และล้าผงกาแฟที่ตกค้างออกให้หมด
4.ทำการเปลี่ยน Filter Basket ของก้านชงกาแฟ (Portal Filter)เป็นตะแกรงสำหรับทำ Back Flush หรือทำการใส่ Back Flush Disk ลงบนตะแกรงแบบธรรมดา
5.ใส่ก้านชงกาแฟเข้าที่หัวกรุ๊ป แล้วกดไล่น้ำทิ้งอีกครั้ง
6.ถอดก้านชงออกแล้วเทน้ำทิ้ง
7.เปลี่ยนตะแกรงกลับไปเป็นแบบ Filter Basket เป็นแบบเดิมแล้วล้างทำความสะอาดตะแกรง Back Flush หรือ Back Flush Disk แล้วเช็ดทำความสะอาดให้แห้งก่อนเก็บเข้าที่
8.ทำความสะอาดหัวเป่าโฟมนมด้วยการเช็ดให้สะอาด หรือถ้าเลอะมากๆอาจจะแช่ในน้ำร้อนสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเช็ดให้แห้ง
9.ปิดเครื่องชงกาแฟ
10.เปิดสวิตซ์ก้านเป่าโฟมนมทิ้งไว้จนไอน้ำหมด
11.รอให้เครื่องเย็นแล้ว ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดที่หัวกรุ๊ปตามซอกให้สะอาด
12.ถอดตะแกรงและถาดรองน้ำออกมาล้างทำความสะอาด แล้วใส่กลับที่เดิม
13.เช็ดตัวเครื่องด้านนอกให้สะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ
วิธีทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟในรอบสัปดาห์
1.ใช้ไขควงถอดหัวกรุ๊ปออก นำส่วนตะแกรงออกมาล้างทำความสะอาด
2.ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดทำความสะอาดตามซอกและด้านในหัวกรุ๊ป
3.ประกอบชิ้นส่วนกลับเข้าตามเดิมให้เรียบร้อย

**ต้องระวังให้มากเวลาขันน็อต อย่าให้แน่นมากจนเกินไป ขันแค่พอตึงมือก็พอเพราะเวลาเครื่องร้อนโลหะจะขยายตัวและจะทำให้แน่นจนครั้งต่อไปอาจขันไม่ออก
ต้องหมั่นใส่ใจทำความสะอาดเครื่องชงเป็นประจำเพราะหากเครื่องชงอยู่ในสภาพที่ไม่สมบรูณ์พร้อมใช้งาน จะมีผลกระทบแต่ธุรกิจร้านการของคุณแน่นอน เครื่องชงกาแฟเป็นอุปกรณ์สำคัญตั้งคอยตรวจเช็คและดูแลให้ดี เท่านี้ก็จะมีเครื่องชงกาแฟที่ดูใหม่และพร้อมใช้งานได้อีกยาวนาน

2552-08-28

รูปแบบร้านกาแฟ


รูปแบบร้านกาแฟนั้นมีหลายรูปแบบ การตัดสินใจก่อนเปิดร้านกาแฟนั้นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายอย่างทั้งเรื่องของเงินลงทุน รูปแบบของร้านกาแฟ การบริหารงาน ว่าจะสามารถจัดการร้านได้ดีมากน้อยเพียงใด การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นทุกวัน การเลือกรูปแบบร้านกาแฟที่เหมาะสมกับตัวเองทำให้เราสามารถบริหารจัดการได้ดีและจะประสพความสำเร็จในที่สุด มาลองดูการแบ่งรูปแบบร้านกาแฟว่าจัดแบ่งออกเป็นได้กี่ประเภทแบบไหนที่เหมาะสมกับการลงทุนในระดับที่เราคิดไว้ในใจ
1. ร้านกาแฟขนาดเล็ก
ร้านกาแฟขนาดเล็ก เกิดขึ้นได้ง่ายและเกิดขึ้นอย่างมากมายในแต่ละวันทำให้ การแข่งขันในระดับนี้แข่งขันกันสูงมาก ระดับเงินลงทุนที่ใช้ไม่มาก เพราะเงินลงทุนใช้เงินระดับ 30,000-80,000 บาทส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบคีออส หรือเป็นซุ้มขายกาแฟ เช่นตามข้างทาง ,ตลาด ,หรือแหล่งชุมชน,ปั๊มน้ำมันเป็นต้น การลงทุนที่ใช้เงินไม่มากนี่เองทำให้ใครๆก็สามารถเข้ามาแข่งขันได้ในตลาดระดับนี้แต่ถึงแม้จะเป็นระดับที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ก็ต้องอาศัยความรู้และทักษะในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจไปตลอดรอดฝั่งได้ การลงทุนในร้านกาแฟระดับนี้ ข้อได้เปรียบคือ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรุกเข้าทำเลต่างๆได้ง่ายๆ หรืออาจจะเสริมเข้าไปในธุรกิจอื่นได้เช่น ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านเบเกอรี่ ร้านอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีข้อได้เปรียบเรื่องค่าเช่าสถานที่ ที่ถูกกว่า การเลือกทำเลที่ตั้ง และอาศัยพื้นที่ในการดำเนินธุรกิจที่ไม่มากทำให้สามารถลดต้นทุนเรื่องการจัดร้านและสถานที่ได้ ส่วนการตั้งราคาของร้านกาแฟระดับนี้ก็ต้องไม่แพงจนเกินไปเพราะกลุ่มลูกค้าจะอยู่ในระดับ กลาง-ล่าง ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า ในการดื่ม
2.ร้านกาแฟขนาดกลาง
ลักษณะของร้านกาแฟขนาดกลางคือ เป็นลักษณะคอนเนอร์หรือมุมกาแฟ เคาน์เตอร์ มินิบาร์ การลงทุนอยู่ที่ประมาณ 100,000-800,000 บาท มีสถานที่ตั้งที่แน่นอน อาจอยู่ในอาคารหรือสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้า โดยจับกลุ่มลูกค้า วัยทำงานหรือกลุ่มระดับกลางอาจมีชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งดื่มเป็นมุมกาแฟเพียงไม่กี่จุด ร้านกาแฟระดับนี้สามารถตั้งราคาสูงกว่า ร้านขนาดเล็กได้ ค่าเช่าร้านและสถานที่จึงเริ่มเข้ามามีส่วนในการเปิดร้านอยู่มากพอสมควร จึงต้องคำนึงถึงต้นทุนในส่วนนี้ด้วย แต่ลูกค้าที่เข้ามาดื่มก็อาจจะมีมากกว่า ร้านขนาดเล็กและมีกำลังซื้อได้ดีกว่า หากเลือกทำเลที่ดีและเหมาะสม ผู้ลงทุนต้องหันมาใช้เรื่องการบริการเพื่อให้เกิดการภักดีต่อตัวร้านขึ้น ทำให้ลูกค้ากลับมาดื่มอีกร้านกาแฟระดับนี้ต้องใส่ใจเรื่องการบริหารอย่างมาก เพื่อให้ร้านเติบโตไปได้และอาจจะสร้างชื่อได้ไม่แพ้กาแฟแบรนด์จากต่างประเทศเลยก็ได้ การสร้างแบรนด์เริ่มจากร้านกาแฟขนาดนี้ได้เช่นกันร้านกาแฟขนาดกลาง มีโอกาสที่จะสามารถสร้างแบรนด์จนเป็นกาแฟพรีเมี่ยมได้ ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟเขาทะลุ ชุมพร, กาแฟวาวี ,กาแฟดอยช้าง ฯลฯ
3.ร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยม
คือร้านกาแฟสดขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนที่สูง อาจจะใช้เงินลงทุนระดับ ล้านบาทขึ้นไป รูปแบบร้านมีทั้งแบบเช่าสถานที่บนห้าง หรืออาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เน้นเรื่องความสะดวกสบายและบรรยากาศร้าน เพื่อให้นักดื่มกาแฟได้ผ่อนคลายเรื่องการตกแต่งจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้ต้นทุนเรื่องสถานที่สูงกว่าร้านแบบอื่นๆ ลูกค้าจะเน้นลูกค้าในระดับ กลาง-บน รูปแบบการจัดร้านมีสไตล์หรือคอนเซ็ปต์ ที่แน่นอน ใช้หลักความรู้ในการบริหารจัดการร้านที่ดีมีประสิทธิภาพ รักษามาตรฐานการตลาด และเน้นการสร้างแบรนด์จึงทำให้ใช้ทุนดำเนินการที่สูงกว่าร้านในระดับอื่นๆ แต่การตั้งราคากาแฟก็สามารถตั้งได้สูงตามไปด้วย เช่น แก้วละ 60-100 บาท การแข่งขันในร้านระดับนี้ มักจะมีการครองตลาดจากเจ้าของแบรนด์ ทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ ทำให้ร้านกาแฟรายใหม่เจาะตลาดได้ยากผู้ลงทุนที่อยากเปิดร้านกาแฟในระดับพรีเมี่ยมแต่ไม่มีแบรนด์ของตัวเองควรใช้ แฟรนไชส์จะดีกว่า

2552-08-26

กาแฟเขาทะลุ ชุมพร


กาแฟเขาทะลุ ชุมพร
ในธุรกิจกาแฟของเมืองไทย ชื่อของกาแฟเขาทะลุ แห่งจังหวัดชุมพรเป็นที่ยอมรับว่า อยู่ในระดับแถวหน้าของธุรกิจกาแฟ เป็นแบรนด์ที่ส่งเสริมเกษตรกรในท้องถิ่นโดยอาศัยภูมิปัญญาชาวบ้าน ผู้ปลูกกาแฟ และด้วยความมุ่งมั่นมีประสบการณ์คร่ำหวอดใน วงการกาแฟ มากว่า 30 ปี จนเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศจนได้รับประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพจาก มหาลัยฮาวาด สหรัฐอเมริกา

คุณวิสุทธิ์ ทองคำ เริ่มต้นธุรกิจมาด้วยความมุ่งมั่น ต้องการให้กาแฟไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล และต้องการให้คนไทยได้ดื่มกาแฟ ที่มีคุณภาพดี อีกทั้งยังส่งเสริมให้คนไทยปลูกกาแฟ ให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืนให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ เทียมเท่ากับต่างประเทศ จนทุกวันนี้ต่างประเทศให้การยอมรับ สูตรกาแฟของกาแฟขาทะลุจะใช้กาแฟ 2 สายพันธุ์ โดยใช้สูตรดังนี้ กาแฟ 100% ใช้โรบัสต้า 70% อราบิก้าคั่วปานกลาง 15% อราบิก้าคั่วเข้ม 15% ใช้นมและน้ำตาลทรายแดง เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาแฟเขาทะลุ ส่วนอีกสูตรแบล็กคอฟฟี่ โรบัสต้า ใช้ 90% และอราบิก้าคั่วเข้ม 10% กาแฟสองสายพันธุ์นี้จะดีข้อดีคนละอย่าง ที่ต้องแบ่งสัดส่วนกาแฟเพื่อความกลมกล่อมของรสชาติกาแฟโดยกาแฟเขาทะลุ มีสูตรของตัวเองมากกว่า 30 สูตรลงทุนในราคาประหยัด แต่คุณภาพเกินราคา

กาแฟเขาทะลุ มีจุดเด่นที่เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ และสูตรการชงที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังเน้นการทำตลาด โดยจากประสบการณ์ยาวนาน ทำให้มองทิศทางทั้งเรื่อง นิสัยและพฤติกรรมของผู้บริโภคกาแฟ และเข้าใจการดื่มกาแฟของคนไทย โดยต้องเน้นความอร่อยถูกปากคนไทย ราคาระดับที่ซื้อง่ายขายคล่อง จึงจะทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างยาวนานและประสบความสำเร็จกาแฟเขาทะลุจึงเน้นเรื่อง รูปแบบร้านกาแฟขนาดเล็ก ที่ขายเครื่องดื่มราคาในระดับ 25-40 บาท มีสาขามากกว่า 25 สาขาและมีร้านกาแฟที่รับวัตถุดิบแล้วนำไปขายต่อ อีกจำนวนมาก

กาแฟเขาทะลุเน้นความครบวงจร และมีช่องทางการกระจายสินค้า 3 ทางคือ ร้านกาแฟเขาทะลุของตัวเอง ร้านแฟรนไชส์ และร้านกาแฟอื่นที่มารับซื้อวัตถุดิบ จากกาแฟเขาทะลุ
รูปแบบการลงทุนแฟรนไชส์กาแฟเขาทะลุ

-ไม่มีค่าแฟรนไชส์

-จำหน่าย กาแฟคั่วบด คั่วไม่บด ให้กับร้านค้าและผู้สนใจทั่วไป

-การลงทุนร้านกาแฟ ลงทุนขั้นต่ำ 60,000 บาท แล้วแต่สถานที่และกลุ่มลูกค้า หรือทำเล

สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ

1.ได้รับอุปกรณ์การทำกาแฟครบชุดพร้อมเปิดร้านดำเนินธุรกิจทันที เครื่องชงแบบ 2 หัว ชงได้ 300-400 แก้ว

2.ได้รับการอบรมเรื่องสูตรกาแฟและการทำธุรกิจ จากกาแฟเขาทะลุ ชุมพร

3.ได้รับการอบรมการทำตลาด ในพื้นที่จะเปิดร้านกาแฟทำธุรกิจ

กาแฟเขาทะลุมีความมั่นใจในเรื่องคุณภาพไม่เป็นรองใคร แต่ผู้ประกอบการต้องมองทิศทางการตลาดและศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคให้ดีเพื่อให้ธุรกิจก้าวหน้าได้และประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

สนใจธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟเขาทะลุ ชุมพรติดต่อได้ที่
45 ซอยอิสรภาพ 3 ถนนอิสรภาพ แขวงสมเด็จพระเจ้าตากสิน เขตคลองสาน ธนบุรี 10600 โทรศัพท์ 081-908-9298,087-009-9405,02-894-7243

2552-08-22

เครื่องบดกาแฟ


เครื่องบดกาแฟ

เครื่องบดกาแฟมีความสำคัญที่ต้องใช้ควบคู่กันกับเครื่องชงและมีมากมายหลายขนาดและหลายราคา เครื่องบดกาแฟที่มีคุณภาพดีจะต้องบดกาแฟได้ระเอียดและขนาดสม่ำเสมอและเครื่องบดต้องไม่ทำลายกลิ่นและรสชาติของกาแฟ การเลือกเครื่องบดกาแฟจึงมีความสำคัญไม่แพ้ เครื่องชง เครื่องบดกาแฟคุณดีควรมีใบมีดขนาด 64 มิลลิเมตรขึ้นไป เป็นขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้กัน นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาความสะดวกในการใช้งาน วัสดุที่ใช้ทำไม่ควรใช้พลาสติก ควรจะเป็นอะลูมิเนียมและชุดเฟืองต่างๆควรจะทำจากโลหะ เพื่อความคงทนในการใช้งานขนาดโถใส่เมล็ดแล้วแต่จะเลือกใช้

ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบดกาแฟระดับพรีเมี่ยม Mazzer ที่ร้านสตาร์บัคส์และร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยมเลือกใช้ เครื่องบดกาแฟ Mazzer ผลิตจากประเทศอิตาลี ตัวอย่างเครื่องบดกาแฟ 2 รุ่นที่มีจำหน่ายในประเทศไทย คือ Mazzer รุ่น mini และอีกรุ่นคือ Super Jolly ทั้ง 2 รุ่นผลิตจากโลหะคุณภาพดี มีเฟืองบดทำจากเหล็กหล่อชนิดพิเศษ บดได้อย่างสม่ำเสมอ มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ บดด้วยรอบความเร็วต่ำทำให้กาแฟไม่เสียคุณภาพ ทั้งกลิ่นและรสชาติ ใช้งานหนักได้ดีไม่เกิดความร้อนสูงขณะใช้งาน ขนาดโถบรรจุ มีขนาด 1.2 กิโลกรัม ในรุ่น Super Jolly และขนาด 0.6 กิโลกรัม ในรุ่น miniส่วนโถบรรจุผงกาแฟก็มีขนาด 5.5-9 กรัม การทำงานเป็นแบบ อัตโนมัติ เครื่องจะหยุดทันทีเมื่อบดกาแฟเต็มภาชนะ
นี้คือตัวอย่างการพิจารณาเลือกเครื่องบดกาแฟเพื่อให้ได้เครื่องที่มีมาตรฐานที่ดีในการทำธุรกิจ แต่ต้องพิจารณาในเรื่องของงบประมาณในการจัดสรรในส่วนนี้ด้วย หากเป็นร้านกาแฟ ขนาดเล็กและเพิ่งเปิดดำเนินการอาจจะลองเลือกเครื่องบด ขนาดย่อมๆลงมาตามงบประมาณ เมื่อธุรกิจเติบโต จึงค่อยปรับเปลี่ยนในภายหลัง

2552-08-18

เครื่องชงกาแฟ


เครื่องชงกาแฟ

เครื่องชงกาแฟที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ แบ่งเป็น 3ประเภทด้วยกัน

1.เครื่องชงกาแฟแบบกรอง (Drip )
แหล่งกำเนิดมาจากฝรั่งเศสตัวเครื่องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนบน และส่วนล่าง ขั้นตอนการชงจะเทน้ำร้อนใส่กรวยด้านบนที่มีกาแฟบดบรรจุอยูให้น้ำร้อนไหลผ่านและค่อยๆหยดลงมาที่โถรองด้านล่าง รสชาติกาแฟที่ได้จะกลมกล่อมเข้มปานกลาง แต่จะมีผงของกาแฟปนลงมาด้วย โดยปกติเครื่องแบบนี้จะใช้ชงกาแฟเอสเพรสโซ
2.เครื่องชงกาแฟแบบสุญญากาศ
ผลิตโดยวิศวกร ชาวสกอต เครื่องชงแบบนี้จะประกอบไปด้วย กระเปาะแก้ว 2 ใบ ตัวกรอง ท่อส่งน้ำ ตะเกียงแบบไซฟ่อน หลายคนบอกว่าเครื่องชงแบบนี้ทำให้ได้รสชาติที่ดีกว่าเครื่องชงแบบอื่นๆแต่เครื่องชงแบบนี้ ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยม
3.เครื่องชงกาแฟแบบแรงดันไอน้ำ ( Espresso Machine)
ประดิษฐ์ขึ้นราวปี ค.ศ.1822 โดยMr.Louis Bernard Rabaut ลักษณะเด่นของเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ คือการใช้แรงดันน้ำร้อนออกมาตามวาล์วและผ่านกาแฟบดในบล็อกกรองแล้วออกมาเป็นน้ำกาแฟที่เข้มข้น จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที เป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมใช้เป็นอย่างมากในปัจจุบันนี้
เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ที่ใช้ในปัจจุบันยังแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ
1.แบบที่ใช้ในบ้าน
เป็นเครื่องชงกาแฟขนาดเล็กที่ใช้ในบ้าน เหมาะสำหรับการชงไม่กี่แก้ว หรือชงกินเองภายในครอบครัว ราคาไม่แพงเริ่มที่หมื่นบาท ขนาดเล็กกระทันรัด ถอดทำความสะอาดได้สะดวก แต่ข้อด้อยคือคุณภาพของรสชาติกาแฟที่ได้ไม่ได้มาตรฐานเท่ากับเครื่องแบบอื่นๆและต้องใช้เวลาในการชงต่อแก้วที่ยาวนานกว่าเพราะมีหม้อต้มขนาดเล็ก และการสตีมนมช้า ทำให้ต้องเติมน้ำบ่อยๆ และมีหัวกรุ๊ปเพียงอันเดียว ถ้าต้องชงหลายๆแก้วอาจต้องใช้เวลา
2.เครื่องชงกาแฟแบบ Traditional
อาจจะมีชื่อเรียกได้หลายแบบ เช่น เครื่องชงกาแฟแบบ Comercial เครื่องชงกาแฟแบบ Semi-Automatic เครื่องชงกาแฟแบบ Automatic เครื่องชงกาแฟแบบนี้นิยมมากในร้านกาแฟ ชงกาแฟแล้วทำให้ได้รสชาติที่ดี สตีมนม สำหรับคาปูชิโนและลาเต้ได้ดีที่สุดเครื่องชงกาแฟแบบ Traditional มีให้เลือกตั้งแต่ 1-4 หัวกรุ๊ป เครื่องทำงานแบบ ออโตเมติก เพียงกดปุ่มเท่านั้นสะดวกและปลอดภัยต่อการใช้งาน มีระบบตัดความร้อนอัตโมัติ ข้อดีของเครื่องแบบนี้คือ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ชงกาแฟได้รสชาติดี สะดวก ปลอดภัย ใช้งานง่าย แต่ราคาก็อยู่ระหว่าง 100,000 -300,000 บาท ยกตัวอย่างเครื่องชงกาแฟแบบ Traditional ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันได้แก่ยี่ห้อ Conti ผลิตจากประเทศโมนาโก เป็นเครื่องชงกาแฟคุณภาพสูงที่นิยมใช้กันอย่างมาก ในร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยม ยกตัวอย่าง 3 รุ่น

2.1 รุ่นคอนติคลับ (Conti Club) เป็นเครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก มี 1-2 หัวกรุ๊ป ประกอบด้วย ท่อน้ำร้อน 1 ทางและท่อสตีม 1 ทาง จุดเด่นคือมีหม้อต้มขนาดใหญ่ โดยรุ่น 1 หัวกรุ๊ป หม้อต้มขนาด 8 ลิตร รุ่น 2 หัวกรุ๊ป หม้อต้มขนาด 12 ลิตร การที่เครื่องมีหม้อต้มขนาดใหญ่ทำให้ช่วยรักษาอุณหภูมิของน้ำให้คงที่และ มีไอน้ำทำสตีมนมได้อย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ Conti Club ยังมีระบบเติมน้ำอัตโนมัติใช้ระบบไดเร็กอินเจ็คชั่นของมอเตอร์ปั๊มน้ำ ควบคุมด้วยระบบอิเล็คทรอนิกปลอดภัย ตั้งปริมาณน้ำได้ 4 โปรแกรม และยังมีระบบการพรมน้ำบนกาแฟในก้านอัดกาแฟ ทำให้ได้รสชาติกาแฟและกลิ่นกาแฟที่ดี ตัวเครื่องทำจากสแตนเลสสวยงามคงทน ทำความสะอาดได้ง่าย เหมาะสำหรับร้านกาแฟขนาดเล็ก
2.2 รุ่นซีออส (Xeos) มีตั้งแต่ 2-4 หัวกรุ๊ป หม้อต้มน้ำมีขนาดใหญ่ 14 ,21และ 25 ลิตร จะประกอบไปด้วยท่อน้ำร้อน 1 ท่อ และ 2 ท่อสตีมในเครื่องขนาด 4 หัวกรุ๊ป ท่อสตีมมีหูจับที่กันความร้อนได้ ก้านเปิด-เปิดสตีมเป็นแบบโยก ทำให้ควบคุมสตีมได้คงที่และรวดเร็วมีหลายโปรแกรมควบคุม ใช้งานได้สะดวกและปลอดภัย แผงวงจรอิเล็คทรอนิกเก็บอยู่บริเวณที่มีความร้อนต่ำ ทำให้ยืดอายุการใช้งาน มีระบบตัดและเตือนเมื่อความร้อนในหม้อน้ำสูงและปริมารน้ำน้อยเกินไป ตัวเครื่องทำจากสแตนเลสสตีลอย่างดี ทนทานและสวยงาม
2.3 รุ่นทวินสตาร์ทู ( Twinstar II) ถือเป็นสุดยอดของระบบเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ ที่แตกต่างจากเครื่องอื่นๆ ด้วยระบบมัลติบอยเลอร์ มีหลายหม้อต้ม หม้อต้มมีความจุถึง 20 ลิตร มีให้เลือก 2 หัวกรุ๊ปขึ้นไป ควบคุมอุณหภูมิน้ำอย่างเที่ยงตรง ด้วยระบบสัมผัส ดิจิตอล หน้าจอ LCD ของแต่ละหัวกรุ๊ป แม่นยำสูงทำให้ได้รสชาติกาแฟที่ดี เหมาะกับกาแฟหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีพื้นที่มากสามารถวางเหยือกได้ ทำงานสะดวกสามารถนับจำนวนแก้วที่ลงได้ด้วย มีระบบปิด-เปิด เครื่องอัตโนมัติ มีโปรแกรมเตือนการบำรุงรักษา
3.เครื่องกาแฟแบบ Fully Automatic หรือ Super Automatic
ส่วนใหญ่จะนิยมใช้กับโรงแรมหรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ความสะดวกรวดเร็วในการชง เพราะว่าเครื่องชงแบบนี้ มีทั้งเครื่องบดและเครื่องชงกาแฟอยู่ในตัวเดียวกัน และทำงานด้วยระบบออโตเมติกจึงทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่เรื่องรสชาติของกาแฟเทียบไม่ได้กับ เครื่องชงกาแฟแบบ Traditional นิยมใช้มากในต่างประเทศ แต่ราคาสูงถึง 300,000 บาทขึ้นไปบางรุ่นอาจเป็นล้านบาท

2552-08-15

ลักษณะเมล็ดกาแฟดิบที่ดี


ลักษณะเมล็ดกาแฟดิบที่ดีกว่าจะมาเป็นกาแฟคุณภาพดี 1 ถ้วย ต้องการคัดสรรเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพดี การสังเกเบื้องต้นนั้น คือ อราบิก้าจะมีรูปทรงที่เรียว โรบัสต้าจะออกทรงกลม แต่จะให้ละเอียดจริงต้องเปิดปากกระสอบดูกัน

การสังเกตลักษณะเมล็ดกาแฟที่ดีนั้น ต้องมีลักษณะดังนี้



  • กลิ่น ต้องไม่มีกลิ่นบูดเน่า หรือกลิ่นอื่นๆ

  • ต้องเป็นกลิ่นของเมล็ดกาแฟเท่านั้น

  • เมล็ดกาแฟที่ดีต้องไม่มีเปลือกกาแฟหรือเมล็ดกาแฟที่กะเทาะเปลือกออกไม่หมด ปนอยู่

  • ความชื้น ต้องมีความชื้นไม่เกิน 13%

  • ต้องไม่มีรอยการกัดแทะของมอด หรือเป็นรูสีของ

  • เมล็ดกาแฟโดยรวม ไม่ควรจะมีสีดำเกินครึ่งของเมล็ดกาแฟทั้งหมด

  • รูปร่างของเมล็ดกาแฟต้องสมบรูณ์คือไม่บิดเบี้ยวเมล็ดกาแฟไม่ควรมีรอยปริแตก

  • ไม่มีส่วนผสมอื่นที่ไม่ใช่เม็ดกาแฟ เช่น กรวดหิน

  • ระยะเวลาการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ หลังการเก็บเกี่ยว อันนี้ต้องอาศัยประสบการณ์พอสมควรว่าจะใช้เมล็ดกาแฟ ที่เก็บเกี่ยวมายนานเท่าใดจะดีที่สุด 6 เดือน 1 ปี 2 ปี

สิ่งที่ต้องใส่ใจอีกอย่างที่จะมองข้ามไม่ได้คือแหล่งที่มาของเมล็ด ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะแหล่งกาแฟจากแต่ละที่คุณภาพก็แตกต่างกัน

2552-08-14

การคั่วกาแฟ


การคั่วกาแฟ

การคั่วกาแฟเป็นกระบวนการผลิตกาแฟคั่วบดเพื่อให้ได้รสชาติ และกลิ่นที่เหมาะสมตามความต้องการ ในเมล็ดกาแฟจะประกอบไปด้วย สารต่างๆมากมาย เช่น คาเฟอีน น้ำตาล น้ำมัน ไขมัน โปรตีนวิตามิน น้ำ แป้ง ไฟเบอร์ การคั่วต้องทำให้เมล็ดกาแฟได้รับความร้อนเท่ากันอย่างสม่ำเสมอทุกเมล็ดเท่าๆกัน เมื่อเมล็ดกาแฟ ได้รับความร้อนจะทำให้ น้ำมันหอมระเหย กลิ่น รส ถูกปลดปล่อยออกมาสีของเมล็ดกาแฟจะเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาล ดำ ขยายเมล็ดจะขยายใหญ่ขึ้น น้ำหนักจะลดลงปกติจะใช้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 200-240 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที เวลาและอุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญของการคั่วกาแฟ การแบ่ง


ระดับการคั่วกาแฟแยกตามสีของเมล็ดกาแฟได้ 4 ระดับ

1.Light Roast หรือการคั่วอ่อน ใช้อุณหภูมิ 200-210 องศาเซลเซียส เมล็ดกาแฟจะเปลี่ยนจากสีเขียวอมเทาเป็นเหลืองอมส้ม หรือสีน้ำตาลกลาง ความชื้นลดลง ไม่มีน้ำมันเคลือบเมล็ดกาแฟ มีความเป็นกรดสูง มีความเข้มน้อย

2.Medium Roast หรือการคั่วปานกลาง ใช้อุณหภูมิ 210-220 องศาเซลเซียส เมล็ดกาแฟจะเปลี่ยนจากสีเขียวอมเทาเป็นน้ำตาลเข้มขึ้น เข้มกว่าสีอบเชย เมล็ดกาแฟจะมีลักษณะผิวมัน แต่ยังไม่มีน้ำมันเกาะที่ผิวเมล็ดกาแฟ การคั่วแบบนี้ได้แก่ Irich Coffee,American Coffee,Bracilian Coffee,Java Coffee

3.Dark Roast หรือการคั่วแก่ เป็นการคั่วที่อุณหภูมิ สูง 220-240 องศาเซลเซียส เป็นการคั่วกาแฟที่เข้มขึ้นโดยสีกาแฟจะเปลี่ยนจากสีเขียวอมเทาไปเป็นน้ำตาลแก่ จนถึงดำ เมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันเกาะทั่วเมล็ดกาแฟ

4.Darkest Roast หรือการคั่วแก่เข้ม เป็นการคั่วที่อุณหภูมิ สูง 220-240 องศาเซลเซียส แต่ใช้เวลานานกว่า เมล็ดกาแฟจะเปลี่ยนจากสีเขียวอมเทาเป็นน้ำตาลเข้มจนถึงดำเข้ม เมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันมาเกาะเคลือบทั่วเมล็ดกาแฟ บางชนิดจะมีกลิ่นควันไฟจาการคั่วผสมอยู่ด้วย การคั่วแบบนี้ได้แก่ Espresso Roast,Italian Roast,European Roast,French Roast

2552-08-08

กาแฟ ควรจะสร้างแบรนด์เอง หรือ ซื้อแฟรนไชส์ดี



ข้อดีของระบบแฟรนไชส์คือ

ส่วนใหญ่เป็นระบบที่ผ่านการทดสอบมาแล้วว่าประสบความสำเร็จ ผู้ลงทุนเพียงนำสูตร และปฏิบัติตามระบบเท่านั้น ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกเอง แต่ก่อนการตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ต้องลงมือศึกษาข้อดีข้อด้อยของแฟรนไชส์แต่ละตัวหาข้อเปรียบเทียบ อาจจะลองติดต่อสอบถามผู้ที่ลงทุนอยู่ก่อนแล้วว่า เป็นอย่างไร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงตามความเป็นจริง ใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน


อาศัยข้อมูลดังนี้



  • แฟรนไชส์มีความน่าเชื่อถือเพียงใด มีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่

  • พิจารณาส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจ ว่ามีสัดส่วนเป็นที่น่าพอใจหรือไม่

  • แนวโน้มต่อไปในอนาคตเป็นอย่างไร

  • ผู้ขายหรือแฟรนไชส์ซอว์ มีความรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจมากน้อยเพียงใด สามารถถ่ายทอดประสบการความรู้ได้ดี ขนาดไหน

  • ศึกษาสัญญาให้ละเอียดรอบคอบ ผู้ซื้อจะได้รับสิทธิ์ประโยชน์มากน้อย เพียงใด อะไรบ้าง รวมทั้งดูข้อผูกมัดต่างๆว่าเป็นอย่างไร เช่น ลิขสิทธิ์ สูตร การผลิต วิธีการ

  • การฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ

  • ตรวจสอบเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นว่า มีหรือไม่ เช่น เรื่องโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ค่าอบรม ค่าธรรมเนียม อื่นๆ ฯลฯ

  • ศึกษาอายุ สัญญา และการยกเลิก เงื่อนไขการต่อสัญญา ระยะเวลาสัญญา

  • ทดลองคำนวณค่าใช่จ่ายแต่ละเดือนว่ามีอะไร ต้องเสียค่าอะไร จำนวนมากน้อยเพียงไร

  • คำนวณจุดคุ้มทุน กับต้นทุนการลงทุน ความคุ้มค่าดูเรื่อง ราคาอุปกรณ์ มาตรฐาน อายุการใช้งาน

ต้องแน่ใจว่า การตัดสินใจทำธุรกิจของคุณจะสามารถเติบโต และสร้างรายได้ที่คุ้มค่าการลงทุนให้กับตัวคุณเอง ต้องมองในหลายมุม ก่อนตัดสินใจ


2552-08-06

การสร้างแบรนด์กาแฟของตัวเอง


การสร้างแบรนด์กาแฟของตัวเอง
การสร้างแบรนด์กาแฟเป็นของตัวเองนั้นเป็นอะไรที่หลายๆคนฝันอยากให้เป็นจริงเพราะ อยากให้ใครรู้จัก ดื่มแล้วติดใจเกิดการบอกปากต่อปาก การมีแบรนด์เป็นของตัวเองเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ
แต่การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เจ้าของแบรนด์ต้องมีความรอบรู้ในธุรกิจจนถ่องแท้ รู้เป้าหมาย ว่ากลุ่มลูกค้าคือใคร เพราะลูกค้ากาแฟมีหลากหลาย ต้องพิจารณาได้ว่า แต่ละกลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรการดื่มกาแฟต่างกันอย่างไร
เรื่องการ จัดตกแต่งร้านให้ได้บรรยากาศในการดื่มกาแฟ ก็เป็นเรื่องสำคัญ บรรยากาศ หรูทันสมัย หรือบรรยายกาศแบบผ่อนคลายแวดล้อมด้วยต้นไม้ หรือคลาสสิค แล้วแต่คอนเซ็ปต์ของร้าน เพื่อให้ลูกค้าติดใจ
นอกจากนี้ ตัวรสชาติของกาแฟเองเป็นสิ่งสำคัญมาก การเลือกสรรวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพเป็นหัวใจหลัก ผู้ประกอบการต้องใส่ใจมากๆ นักดื่มกาแฟแต่ละคนจะมีรสชาติกาแฟที่ชอบแตกต่างกันมาก ดังนั้นต้องใส่ใจผู้บริโภคให้มาก เก็บรายละเอียดให้หมด
นอกจากนี้ยังต้องคิดถึงบริการอื่นๆที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย เช่น มีอาหาร หรือขนมอย่างอื่นเสริม ไม่ว่าจะเป็น คุกกี้ เบเกอรี่ แซนวิช เค้ก ฯลฯ หรือ มีบริการอินเตอร์เน็ตให้กับลูกค้า ได้ ก็จะดีมากๆ
สำคัญที่สุด คือ แบรนด์ที่ท่านคิดจะสร้าง ลูกค้าต้องจดจำได้ง่าย มีจุดขาย แตกต่างจากร้านอื่นๆอย่างไร ต้องมีมาตรฐานทั้งทางด้าน สินค้า และบริการเพราะธุรกิจกาแฟ การบริการก็เป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่ง

2552-08-04

ร้านกาแฟสัญชาติอินเตอร์


ร้านกาแฟสัญชาติอินเตอร์
ถ้าจะพูดถึงกาแฟแบรนด์ดังจากต่างประเทศไม่มีใครไม่รู้จัก ร้านกาแฟสตาร์บัคส์เป็นกาแฟสดแบรนด์ดังที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเราจนประสบความสำเร็จ
เพราะมีรูปแบบการบริการที่ยอดเยี่ยม และแบรนด์มีความน่าเชื่อถือ รสชาติก็ลงตัวถูกปากชาวไทยอย่างเรา

ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ เป็นกาแฟสัญชาติอเมริกัน ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ก่อตั้งครั้งแรกปี 2514 ปัจจุบันมีมากกว่า 6,000 แห่ง
จาก 30 ประเทศทั่วโลก ด้วยการคัดสรร สุดยอดคุณภาพวัตถุดิบทำให้ครองใจนักดื่มระดับบนได้อย่างต่อเนื่อง

ร้านกาแฟ กลอเรีย จีนส์ เป็นกาแฟสาพันธุ์ อเมริกันเช่นกัน โดยชูจุดขายอยู่ที่การสกัด สารคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟ เพื่อให้นักดื่มที่ใส่ใจสุขภาพแต่หลงใหลรสกาแฟ ได้มีทางเลือกในการดื่ม

ร้านกาแฟโอบองแปง สัญชาติอเมริกาอีกแห่งหนึ่งที่เข้ามาประสบความสำเร็จในบ้านเราโดยสร้างจุดเด่นที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ด้วยตัวเอง การจัดร้านเหมือนร้านสะดวกซื้อ หรือซุปเปอร์มาเก็ต
เพื่อรองรับ สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่

นอกจากนี้ยังมีกาแฟอีกหลายแบรนด์ที่หลั่งไหลเข้ามาทำการตลาดในเมืองไทย โดยอาศัยรูปแบบการทำแฟรนไชส์เพื่อให้สามารถขยายตัว และจัดการได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

2552-08-01

เลือกซื้อแฟรนไชส์กาแฟที่ไหนดี


เลือกซื้อแฟรนไชส์กาแฟที่ไหนดี
การลงทุนเปิดร้านกาแฟนั้นจะรีบร้อนไม่ได้ต้องใจเย็นๆคัดเลือกแฟรนไชส์ซอร์ให้ดี ต้องดูว่าผู้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ผู้ซื้อรายก่อนๆเป็นยังไง ประสบความสำเร็จหรือป่าว
การตัดสินใจลงทุนนั้นต้องอาศัย เม็ดเงินจำนวนเท่าใด เช่น หากเราเลือกลงทุนกับ แบรนด์ดังๆอย่าง แบล็คแคนยอน ก็อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงหน่อย เพื่อแลกกับชื่อแบรนด์และคุณภาพที่ได้
ร้านกาแฟในลักษณะ เป็น คีออส หรือคอนเนอร์ก็มีความน่าสนใจ ในแห่งของการลงทุนที่ไม่มาก และสามารถเพิ่มจำนวนสาขาได้รวดเร็ว ร้านลักษณะนี้ เกิดขึ้นอย่างมากมายใน ปัจจุบันนี้
ยกตัวอย่างร้านในลักษณะนี้ เช่น

1.เดอ ไอยรา เป็นแบรนด์ที่มีประสบการณ์มายาวนานและมีจุดแข็งหลายอย่าง ชูจุดแข็งโดยเป็นกาแฟไทยๆที่ต่างชาติยอมรับ

2.คอฟฟี่แมน วิภาวดี จำกัด มีสาขามากมายทั่วประเทศ กว่า 300 แห่ง แสดงให้เห็นถึงการยอมรับจากผู้ประกอบการที่ให้ความไว้วางใจ ทำธุรกิจ จุดเด่นคือมีเมล็ดกาแฟคุณดี หมุนเวียนให้ลูกค้าใช้ได้ตลอดทั้งปี
กาแฟคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน

3.กาแฟวาวี เป็นอีกหนึ่งแบรนดืไทย ที่เติบโตอยู่ในเขตต่างจังหวัด มีโรงคั่วเมล็ดกาแฟเอง ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพเมล็ดกาแฟได้ดี ปัจจุบันนี้ กาแฟวาวีได้รุกขยายฐานการตลาดเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำให้น่าจับมองไม่น้อย

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆแบรนด์ ที่ไม่ได้กล่าวถึง สิงสำคัญไม่แพ้การเลือกแฟรนไชส์กาแฟคือ การมีหัวใจบริการ ต้องได้ใจลูกค้า และมีทำเลที่เป็นต่อ